บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก สิงหาคม, 2019

3 ความเชื่อ ผิดแรง! เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า

รูปภาพ
ความเชื่อผิดๆ เป็นเรื่องที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเราทุกคน และแน่นอนว่าความเชื่อผิดๆที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าก็เช่นเดียวกัน มาดูกันดีกว่า 3 ความเชื่อผิดๆ ที่คุณควรเชื่อใหม่ได้แล้ว มีอะไรบ้าง 1.จะล้างเครื่องสำอางต้องทิชชู่เปียก! ถ้าใบหน้ามีแนวโน้มที่สามารถเกิดรอยดำ ได้ง่ายมากๆ การใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเครื่องสำอางอาจ จะยิ่งทำให้เกิดการเสียดสีและทำให้ผิวหนังฉีกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้ทุกวัน นอกจากนี้ทิชชู่เปียกสำหรับทำความสะอาดเครื่องสำอางจำนวนมากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ผิวแพ้ง่ายเข้าไปอีก เคล็ดลับ :  การใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเครื่องสำอางสามารถทำได้ในเวลาฉุกเฉิน หรือ ใช้แบบนานๆครั้ง 2.ยิ่งแพง ยิ่งดี หรอ? ยิ่งเป็นคนที่มีผิวผสม ก็จะยิ่งต้องจ่ายเงินเพื่อดูแลผิวมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ หากแต่ก็ไม่จำเป็นกับทุกผลิตภัณฑ์ โดยบางครั้งคุณสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบง่ายๆ หรือราคาที่ถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง เพื่อช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายให้น้อยลง เคล็ดลับ :  คุณสามารถเรียนรู้วิธีเก็บเงินของคุณได้อย่างง่ายดาย ด้วยการค้นคว้าส่วนผสมของต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ที่คุณชื่นช

รู้ไว้ไม่เสี่ยง! 5 แนวทางทดสอบผิวแพ้ง่าย

รูปภาพ
ทุกวันนี้เรามีสารพัดเครื่องประทินผิวไว้สำหรับดูแลทั้งผิวกายและผิวหน้า รวมทั้งสภาพผิวแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนผิวแข็งแรงและบางคนก็ผิวแพ้ ระคายเคืองได้ง่าย หากจะเริ่มต้นดูแลตัวเองแล้วละก็ พื้นฐานง่ายๆ ที่ควรรู้ก่อนใช้จะได้ไม่เสี่ยงผิวแพ้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ หากรู้ตัวว่าแพ้อะไร ควรเลี่ยงสิ่งนั้น  ตรวจสอบฉลากข้างผลิตภัณฑ์ว่ามีสารหรือส่วนผสมที่ทำให้เราแพ้หรือระคายเคืองที่สำคัญๆ อยู่ประกอบด้วยหรือไม่ เช่น สารพาราเบน , นํ้าหอม , แอลกอฮอล์ หรือ SLS เป็นต้น ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ใกล้วันสำคัญ  เพราะเราจะไม่รู้ได้เลยว่า ผลิตภัณฑ์ที่คุณลองตัวใหม่จะช่วยฟื้นฟูให้ผิวของคุณดีขึ้นหรือทำให้เกิดผื่นแพ้ จนรักษาไม่ทันวันสำคัญหรือเปล่า เพราะการดูแลฟื้นฟูผิวต้องใชัระยะเวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผล ดังนั้นหากคุณต้องออกงาน หรือมีงานสำคัญของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงามเป็นหลัก ควรงดหรือหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ที่จะเหมาะกับผิวหน้าของเรา ถ้าไม่แน่ใจว่าซื้อผลิตภัณฑ์มาแล้วจะแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่  คุณสามารถทดสอบกับตัวเองได้ก่อนที่จะลงมือใช้จริง ด้วยวิธีง่ายๆ โดยนำครีม

เมื่อเรากิน “เนยถั่ว” จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย?

รูปภาพ
ผู้หญิงที่กินเนยถั่วมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กินเล็กน้อย สอดคล้องกับผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเพอร์ดูที่ชี้ว่า ของว่างที่มีเนยถั่วเป็นส่วนประกอบจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ในขณะที่เค้กปริมาณเท่ากันจะทำให้คุณอิ่มเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น อ้างอิงจากบทความเรื่อง  “เนยถั่ว” ท็อปปิ้งลดน้ำหนัก ช่วยให้อิ่มเร็วและนานขึ้น  แต่นอกเหนือจากเรื่องของช่วยลดน้ำหนักแล้ว “เนยถั่ว” ให้ประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่คิดนะ มาลองดูกันว่า…  เมื่อเรากินเนยถั่ว จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย? 1.ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ผลการวิจัยจาก Vanderbilt University บอกว่า การกินถั่วทุกวันมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตทั้งหมดลดลง อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังประกอบด้วยสารอาหาร เช่น โพแทสเซียมที่ช่วยรักษาความดันโลหิตให้แข็งแรง มีใยอาหารและมี phytosterols ช่วยให้หัวใจแข็งแรง 2.รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น Ilyse Schapiro  นักโภชนาการ บอกว่า “ถ้าคุณกินเนยถั่ว ทามันลงบนขนมปังตอนเช้า หรือว่ากินเป

6 แนวทาง “ดื่มกาแฟ” ให้ได้ประโยชน์สุขภาพสูงสุด

รูปภาพ
กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพด้วย และสำหรับบางคนก็เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารที่นอกเหนือจากทั้งผลไม้และผัก ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเปลี่ยนกาแฟของเพื่อนๆ ให้ยิ่งดื่มยิ่งสุขภาพดี 1.ไม่กินคาเฟอีนหลัง 14.00 น. กาแฟเป็นหนึ่งในแหล่งธรรมชาติที่มีคาเฟอีนมากที่สุด และคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้กาแฟเป็นที่นิยมกันมาก ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าดื่มกาแฟในช่วงดึกก็สามารถรบกวนการนอนได้ และการนอนหลับแย่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพทุกประเภท ด้วยเหตุนี้เพื่อนๆ จึงไม่ควรดื่มกาแฟในตอนกลางวัน ถ้าต้องดื่มจริงๆ ให้เลือก decaf หรือเลือกดื่มชาแทนซึ่งประกอบด้วยคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ งดกาแฟหลังจาก 2-3 โมงเย็น เป็นแนวทางที่ดี ที่กล่าวว่าไม่ใช่ทุกคนมีความรู้สึกไวต่อคาเฟอีนและบางคนอาจนอนหลับได้ดีแม้ว่าพวกเขาจะดื่มกาแฟในช่วงดึก 2. อย่าใส่น้ำตาล แม้ว่ากาแฟจะมีสุขภาพดีในตัวเอง แต่เราสามารถเปลี่ยนเป็นกาแฟที่เป็นอาหารที่อันตรายได้ วิธีที่ดีที่สุดในการทำ

เพราะอะไร “โปรไบโอติก” จึงช่วยลดไขมันหน้าท้องได้?

รูปภาพ
โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อรับประทานพบได้ทั้งในอาหารเสริมและอาหารหมักดอง โปรไบโอติกอาจปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหาร สุขภาพหัวใจและการทำงานของภูมิคุ้มกัน การศึกษาหลายชิ้นยังแนะนำว่าโปรไบโอติกสามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักและลดไขมันหน้าท้องได้ แบคทีเรียในลำไส้อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย มีจุลินทรีย์หลายร้อยชนิดในระบบย่อยอาหาร เป็นแบคทีเรียซึ่งส่วนใหญ่เป็นมิตร แบคทีเรียที่เป็นมิตรผลิตสารอาหารที่สำคัญหลายชนิดรวมถึงวิตามินเคและวิตามินบีบางชนิด ช่วยสลายเส้นใยที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้เปลี่ยนเป็นกรดไขมันสายสั้นประโยชน์ เชื้อแบคทีเรียที่ดีมีอยู่ 2 แบบหลักในลำไส้: bacteroidetes และ firmicutes น้ำหนักตัวดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความสมดุลของแบคทีเรียทั้งสองแบบนี้ ทั้งการศึกษาของมนุษย์และสัตว์พบว่า คนที่น้ำหนักปกติมีแบคทีเรียในลำไส้แตกต่างจากคนที่น้ำหนักเกินหรืออ้วน ในการศึกษาเหล่านั้นคนที่เป็นโรคอ้วนมีจำนวนแบคทีเรียน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนน้ำหนักปกติ การศึกษาทั้งหมดเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าแบคทีเรียในลำไส้อาจมีบทบาทที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนัก โปรไบ

กาแฟโคลด์บริว (COLD BREW) ทำไมถึงช่วยลดอ้วนได้?

รูปภาพ
ถ้าพูดถึงหนึ่งในเครื่องดื่มที่ถูกเลือกให้เป็น “เครื่องดื่มลดน้ำหนัก” กาแฟ น่าจะเป็นตัวเลือกต้นๆ ของใครหลายคน แต่ประเภทของกาแฟนั้นมักจะเป็น กาแฟโคลด์บริว (Cold Brew) ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ทำไมกาแฟช่วยลดอ้วนได้? การเผาผลาญเป็นกระบวนการที่ร่างกายของเพื่อนๆ ใช้อาหารเพื่อสร้างพลังงาน อัตราการเผาผลาญของเราสูงกว่าแคลอรี่ที่เผาผลาญมากขึ้น เช่นเดียวกับ กาแฟโคลด์บริว (Cold Brew) มีคาเฟอีนซึ่งแสดงให้เห็นว่า ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของเพื่อนๆ ได้ถึง 11% (อ้างอิง  1 ,  2 ) คาเฟอีนดูเหมือนจะเพิ่มอัตราการเผาผลาญโดยการเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ และจากการศึกษาใน 8 คน ที่มีการบริโภคคาเฟอีนนำไปสู่การเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้น 13% เช่นเดียวกับการเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น 2 เท่าซึ่งมีผลมากกว่าที่ได้รับหลังจากใช้ยาหลอก ( อ้างอิง ) แล้วทำไมถึงต้องเป็นกาแฟโคลด์บริว (Cold Brew) คาเฟอีนในกาแฟโคลด์บริวสามารถเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่เพื่อนๆ เผาผลาญในส่วนที่เหลือ วิธีนี้อาจทำให้ง่ายต่อการลดหรือควบคุมน้ำหนักนั่นเอง อีกทั้งกาแฟชนิดนี้นั้นไม่มีการเติมน้ำตาลหรือใส่นม ครีมเทียมเพิ่ม จึงทำให้ร่างกา

ใช้ “สบู่” ที่ไม่เหมาะกับผิว อันตรายกว่าที่คิด

รูปภาพ
ผิวหนัง เป็นเสมือนด่านแรกที่ช่วยดูแลร่างกายจากการสัมผัสสิ่งแปลกปลอมภายนอก แม้ว่าแต่ละคนจะมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน แต่การดูแลผิวพรรณนั้นเป็นปัจจัยหลักในการปกป้องผิวกายจากโรคภัยต่างๆ หนึ่งในตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวพรรณให้สะอาดหมดจดก็คือ “สบู่” “สบู่” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวหนัง ล้างสิ่งสกปรก หรือไขมันจากผิวหนัง ดังนั้น การใช้สบู่เป็นประจำทุกวันจึงเป็นสุขอนามัยประการหนึ่งที่จำเป็น  ซึ่งการเลือกใช้สบู่ที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการระคายเคือง ผิวแห้ง ผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส   ผิวหนังไวต่อสารเคมี  เป็นต้น ข้อมูลจาก แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์  สรุปใจความสำคัญได้ว่า  สบู่ผลิตจากไขมันพืชหรือสัตว์ สามารถละลายและล้างออกด้วยน้ำ อาจมีการผสมน้ำหอมหรือสีลงไปเพื่อให้ได้กลิ่นหรือสีตามต้องการ สบู่มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่ใช้ แบ่งเป็น 4 ชนิดดังนี้ สบู่ก้อน ลักษณะเป็นก้อนสีขาวหรือสีอื่นๆ ใช้สำหรับภายนอกเท่านั้น สบู่ชนิดอ่อน ลักษณะคล้ายน้ำผึ้งหรือเยลลี่สีเหลืองใส สบู่เหลว เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีน้ำ

ทำความรู้จัก “ฝ้า” ปัญหาผิวสุดกังวลของผู้หญิง

รูปภาพ
ปัญหาเกี่ยวกับ “ฝ้า” เป็นปัญหาผิวที่สาว ๆ หลายคนหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเป็นฝ้าก็พาให้เราขาดความมั่นใจในการโชว์ผิวได้เหมือนกัน ถึงแม้ยุคนี้จะมีแอพฯ แต่งภาพ แต่ใจจริงแล้วเราก็อยากผิวสวยเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องแต่งเติมใช่ไหมล่ะ ดังนั้นวันนี้เรามาแก้ปัญหาเรื่องฝ้าให้หมดไปกันดีกว่า พร้อมเผยผิวสดใสไปกับสดสวยหรือยังคะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าการรักษาฝ้านั้นค่อนข้างยาก ใช้เวลารักษานานและอาจหายไม่หมดหรือหายแล้วก็อาจกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ลองมาสังเกตตัวเองดูก่อนว่าเรามีฝ้าใช่หรือไม่  “ฝ้า”  จะมีลักษณะเป็นผื่นที่มีลักษณะเป็นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า และมักเป็นเท่ากันทั้งสองข้าง (symmetry) โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก และคาง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด นั่นหมายความว่าบริเวณเหล่านี้รับแสงแดดได้มากกว่าบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้าของเรา ดังนั้นผื่นจึงมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ในผู้ชายก็พบได้ และพบในผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า แน่นอนว่าอัน

วัย 20-30 ต้นๆ เริ่มแก้ปัญหาฝ้า หน้าหมองคล้ำ ยังไงดี?

รูปภาพ
ผู้หญิงช่วงวัยตั้งแต่ 20-30 ต้นๆ จะเริ่มพบว่า “ ฝ้า “เป็นอีกหนึ่งปัญหาทางผิวหนังที่พบบ่อยและสร้างความกังวลใจ เพราะรอยด่างดำบนผิวหนังที่เกิดจากการเปลี่ยนสีของผิวเข้มกว่าสีผิวปกติ แม้จะไม่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่า ฝ้าเกิดจากอะไร มันอาจมาจากความไวของฮอร์โมน ยาคุมกำเนิดรวมทั้งความเครียด หรือโรคต่อมไทรอยด์ แต่มีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอย่าง “แดด” ทำให้เกิดฝ้าได้ เป็นตัวการสำคัญนำมาซึ่งปัญหาผิวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความหมองคล้ำ จุดด่างดำที่ทิ้งรอยไว้นาน จุดเสี่ยงเกิดฝ้าและความหมองคล้ำมากที่สุด? หน้าผาก แก้ม หน้าแก้ม คาง โหนกแก้มทั้งสองข้าง บริเวณสันจมูก วัย 20-30 ต้นๆ เริ่มแก้ปัญหาฝ้า หน้าหมองคล้ำ ยังไงดี? การรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาในการรักษานาน อีกทั้งเมื่อรักษาจนหายแล้วก็กลับไม่หายขาด สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ ตัวเลือกแบบบ้านๆ “ว่านหางจระเข้” ได้รับการแนะนำเหมือนกัน โดยมีการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ( อ้างอิง ) บอกว่า ในว่านหางจระเข้นั้นมีไลโปโซม (Liposome) ซึ่งช่วยปรับปรุงปัญหาฝ้าอย่างมีนัยสำคัญ ทรีทเม้นต์ที่ทำงานร่วมกับส่วนผสมที่เพื่อช่วยลดเม็ดสี